พวกแกไปเอามาจากไหนห๊ะ!? ซึ่งจริงๆ แล้ว อ. อารากิ เองเป็นคนที่ชอบวัฒธรรมของฝั่งตะวันตกเอามากๆ ทั้งศิลปิน ภาพยนตร์ งานศิลป์ โดยเฉพาะนิตยสารแฟชั่นทั้งหลาย ที่ตัว อ. อารากิ เองได้นำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเสื้อผ้าหน้าผมและท่าโพสตัวละคร โดยที่ตอนแรก อ. อารากิ นั้น อยากเป็นดีไซน์เนอร์ แต่ดันมาวาดการ์ตูน เราจึงเห็นความแฟชั่นนิสม์ปรากฏในการ์ตูนเรื่องนี้แบบเต็มพิกัด ลองไปดูตัวอย่างกันครับ ตอนแรก อ. อารากิ นั้น อยากเป็นดีไซน์เนอร์ แต่ดันมาวาดการ์ตูน ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ โจรูโน่ โจบาน่า โบรโน่ บูจาราตี้ และนารันช่า กิลเกอร์ ไจโร เซเปลี่ จะเห็นได้ว่า อ. อารากิ เองนั้นได้แรงบันดาลใจจากนิตยสารแฟชั่นฝั่งตะวันตกเป็นอย่างมาก รวมถึงศิลปินดังในยุคนั้นอย่าง เดวิด โบวี่ ก็กลายมาเป็นต้นแบบให้กับตัวร้ายภาค 4 อย่าง คิระ โยชิคาเงะ ด้วยเช่นกัน โดยที่สแตนด์ของเขามีนามว่า Killer Queen ซึ่งแน่นอนล่ะว่าแรงบันดาลใจก็ไม่ใกล้ไม่ไกลเพราะมาจากเพลงของวง Queen นั่นเองรวมถึงความสามารถของสแตนด์อย่าง Sheer Heart Attack และ Bites the Dust ก็นำมาจากเพลงของวง Queen เช่นกัน นอกจากนี้โจโจ้ยังเคยได้ร่วมงานกับแบรนด์ GUCCI มาด้วยนะเออ!
อารากิ อยากสื่อให้เห็นถึง การเติบโตของตัวละคร ผ่านทางกล้ามเนื้อและความเข้มแข็ง โดยช่วงภาคแรกๆ นั้น (ภาค1-2) โจโจ้ก็เหมือนกับมังงะแนวโชเน็นทั่วไป ที่ตัวเอกต้องมีพลังเฉพาะตัว ซึ่งพลังของโจนาธานก็คือพลังคลื่นมนตรา มีลักษณะคล้ายกับพลังปราณภายในที่เขาต้องนำมาต่อกรกับดิโอ ตัวร้ายหลักของเรื่องซึ่งมีพลังแวมไพร์พลังกายเหนือมนุษย์ แถมยังเป็นอมตะฆ่าไม่ตายอีกต่างหาก แต่ว่าโจโจ้ช่วงที่ตีพิมพ์ออกมาใหม่ๆ นั้นกลับมีความนิยมที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะเนื้อเรื่องที่หลายคนลงความเห็นว่าน่าเบื่อ น้ำเน่า นี่มันบ้านทรายทองเวอร์ชั่นกล้ามชัดๆ แต่.. เมื่อเข้าสู่ภาคที่ 3 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ!! โจโจ้ภาค 3: นักรบประกายดาว ถือว่าเป็นจุดพลิกผันของมังงะชุดนี้ไปโดยปริยาย เมื่อการมาถึงของ "สแตนด์" กลายเป็นที่ฮอตฮิตของเหล่านักอ่านอย่างล้นหลาม!! อารากิ เองเป็นคนที่เล่าบรรยากาศได้ดีมากๆ ทำให้ผู้อ่านหรือผู้ชมอย่างเราสามารถอินกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้แม้ว่ามันจะเพี้ยนหรือแปลกแค่ไหนก็ตาม ท่าโพสสุดแปลกแบบนี้ มีที่มานะ!! ถ้าพูดถึงโจโจ้ คนที่รู้จักหรือไม่รู้จักก็คงจะสังเกตุได้ทันทีว่าจุดเด่นของเรื่องนี้ก็คือท่าโพสแปลกๆ ของเหล่าตัวละครทั้งหลาย หลายคนคงสงสัยว่าไอ้ท่าโพสแอ่นจนปวดหลังแบบเนี๊ยะ!
1920 กับพี่ชายที่ชื่อว่า รูดิ หรือ รูดอล์ฟ ดาสเลอร์ (Adolf, Adi Dassler) โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า "Dassler" ก่อนจะเปิดกิจการขึ้นครั้งแรก ในปีค. 1924 จนในปีค. 1936 นักกีฬาของอเมริกามีชื่อว่า Adi ได้ใส่รองเท้าลงสนามกีฬาโอลิมปิคในขณะนั้น จึงทำให้รองเท้าของเขา 2 พี่น้องโด่งดังขึ้นมาทันที ก่อนในช่วงปีค.
ิ อ่าน นิยาย ฟรี, 2024